วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Bebzac&Differin: ยาดันสิวให้เห่อสุดๆ แต่ได้ตัดขาดจากสิวเรื้อรัง

           สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านนะครับ วันนี้ผมจะมาให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องสิวๆ ที่หายารักษาได้แบบชิวๆ 



           ชีวิตย่างเข้าสู่วัยรุ่นหลายคนคงประสบกับปัญหาสิวกับใช่ไหมครับ ร่วมถึงตัวผมเองด้วย ที่เริ่มมีปัญหาสิวบนใบหน้ามาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้น และมันก็เป็นปัญหาเรื้อรังมาเรื่อยๆ เข้ารับการรักษาตามคลินิกเสริมความงามต่างๆ ก็หายบ้างไม่หายบ้าง ประกอบกับคลินิกค่อนจะเลี้ยงไข้ ที่สำคัญค่าใช้จ่ายสูงมากกกกกกกก



           ด้วยความที่อยากหายขาดจากปัญหาดังกล่าว ผมจึงพยายามศึกษาหาข้อมูลในแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะในอินเทอร์เน็ต ได้มีโอกาสอ่านรีวิวการักษาสิวแบบต่างๆ แต่จากการสืบค้นวิธีการรักษาสิว จะพบผลิตภัณฑ์สองตัวที่เป็นที่นิยมและมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ นั้นก็คือ  

                                    [Benzac AC & Differin]



(หน้าตาคล้ายกันมากนะครับ เพราะสองตัวนี้เป็นพี่น้องกับครับ)


           พอเห็นหน้าตายาที่จะช่วยรักษาสิว เรามาดูส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ดีกว่าครับ 

Benzac AC คืออะไร ?

            Benzac AC เป็นยา Benzoyl Peroxide (BP) ยี่ห้อหนึ่งขอรับ โดยตัวยานี้ทำหน้าที่ในการฆ่าเชื้อโรค P Acne ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวอักเสบอย่างได้ผล นอกจากนี้ BP ยังมีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวด้วย จึงช่วยให้การลดคอมีโดน หรือสิวอุดตันได้ด้วยเช่นกัน ตัวยา Benzoyl Peroxideมีข้อได้เปรียบกว่ายาฆ่าเชื้อ (antibiotics) ชนิดอื่น ๆ อย่าง Clindamycin ตรงที่ไม่ทำให้เชื้อดื้อยา

Benzac AC แตกต่างจาก ยา Benzoyl Peroxide ยี่ห้ออื่น ๆ ตรงไหน?

            สิ่งที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ Benzoyl Peroxide ยี่ห้ออื่นๆคือ Benzac AC จะอยู่ใน Water Bsae Gel ซึ่งอ่อนโยนกว่า ผลิตภัณณ์ BP ส่วนใหญ่ (เช่น Panoxyl) จะเป็นตัวยาที่อยู่ใน Alchol base gel ซึ่งทำให้ระคายเคืองได้มากกว่า (Ref: Pupesosweet)
  

           Benzac AC มีความเข้มข้น 2.5 % , 5% และ 10% มีผลการวิจัยว่าความเข้มข้น 2.5 ก็ให้ประสิทธิภาพได้แทบไม่แตกต่างจากความเช้มข้นที่สูงกว่า และยังระคายเคืองน้อยกว่าด้วย ดังนั้นแนะนำให้ใช้ 2.5 ก็พอแล้วขอรับ หากใช้ไม่ได้ผลจริง ๆ จึงค่อยปรับความเข้มขึ้นเพิ่มขึ้น



 
 ตัวอย่างจากผู้ทดลองใช้

           วิธีที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นใช้ คือใช้วันละ 1 ครั้ง ก่อนล้างหน้าในตอนเย็น ทาบาง ๆ ทั่วใบหน้าหรือบริเวณที่เป็นสิว เว้นรอบดวงตา ริมฝีปาก และขอบจมูกที่ระคายเคืองได้ง่าย ทิ้งไว้ 10 - 15 นาที แล้วล้างออกด้วยคลีนเซอร์ชนิดอ่อนโยนที่ไม่ทำให้หน้าแห้งตึง ซับหน้าเบา ๆ ให้แห้งก่อนบำรุงผิวขั้นต่อไป

         สำหรับผู้ที่ผิวชินกับตัวยาแล้ว สามารถแต้ม Benzac AC บาง ๆ เฉพาะบริเวณหัวสิว ทิ้งไว้ข้ามคืนก็ได้ครับ

สามารถใช้ควบคู่กับ Retin-A หรือยากลุ่มกรดวิตามิน A อื่นๆ ได้ไหม?

         ตัวยา Benzoyl Peroxide ไม่สามารถใช้ควบคู่กับยากลุ่มกรดวิตามินเอได้ แต่มีตัวยาตัวหนึ่งที่ยกเว้นคือ adapalene (Differin) ซึ่งเป็นสารที่พัฒนามากจากกรดวิตามินเอตัวอื่น สามารถใช้ควบคู่ไปกับ Benzoyl Peroxide ได้ครับ



Differin คืออะไร?

            Differin มีชื่อตัวยาว่า adapalene เป็นยากลุ่มกรดวิตามินเอที่แตกต่างจากกรดวิตามินเอตัวอื่นตรงที่ อาการแห้ง แดง ลอก หรือผลข้างเคียงอื่น ๆ จะน้อยกว่ากรดวิตามินเอทั่วไป แล้วก็มีประสิทธิภาพในการต้านการอักเสบของผิวได้ดีกว่า และยังสามารถใช้ควบคู่กับ Benzoyl Peroxide ได้ด้วย

Differin มีประโยชน์กับผิวเป็นสิวยังไง?

            ยากลุ่มกรดวิตามินเอสามารถรักษาเรื่องสิวอุดตันได้ดี เพราะผิวที่เป็นสิวอุดตันได้ง่ายมักมาจากสภาพรูขุมขนที่มีรูปทรงผิดปกติไปเนื่องจากชั้นผิวหนาตัวขึ้น 
            ยาตัวนี้จะไปทำให้ความหนาของผิวและรูปทรงของรูขุมขนกลับมาเป็นปกติ และเนื่องจาก adapalene มีผลข้างเคียงน้อยกว่ากรดวิตามินตัวอื่น และอยู่ในรูปแบบเจลที่ทาได้ง่ายกว่าแบบครีม จึงสามารถควบคุมปริมาณการใช้ในแต่ละครั้งได้เป็นอย่างดี ทำให้ลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาเกินขนาดได้ไปในตัว

 

          ใช้เวลาก่อนนอน หลังจากล้างหน้าแล้ว ซับหน้าให้แห้งสนิท บีบยาออกมาปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียวหรือมากกว่าเล็กน้อย เกลี่ยบางๆ ให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตา ริมฝีปาก และขอบจมูก ทิ้งให้ซึมเข้าผิวดี หากจะใช้ครีมบำรุงผิวแนะนำให้ทา หรือ ตบเขา ๆ ให้ครีมบำรุงซึมเข้าสู่ผิวเอง

          *ถึงแม้ตัวยา adapalene จะมีผลข้างเคียงต่อการไวต่อแสง แห้ง แดง ลอก น้อยกว่ายากลุ่มกรดวิตามินเออื่น ๆ ก็จำเป็นต้องเลี่ยงแสงแดดจัด ๆ และต้องทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน

ใช้ Differin แล้วหน้าลอก แดง จะทำอย่างไรดี?

           แนะนำให้ลดปริมาณหรือความถี่ในการใช้ลง จากทุก ๆ วัน เป็นวันเว้นวัน เพื่อให้ผิวสามารถปรับตัวรับกับตัวยาได้ก่อน ค่อยกลับไปใช้ทุกวัน ๆ แต่หากลดความถี่หรือหยุดใช้แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น เป็นไปได้ว่าจะมีการแพ้ตัวยา แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังครับ

ใช้ Differin นานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล?

           ภายใน 2 - 3 สัปดาห์แรกจะเริ่มสังเกตุความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ แต่ต้องใช้เวลา 2 - 3 เดือนขึ้นไปจึงจะเห็นผลชัดเจน


         หลังจากได้ผลเป็นที่พอใจแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทาทุกวันก็ได้ครับ ให้ลดปริมาณการใช้เป็นวันเว้นหรือวันเว้นสองวันก็ได้ เพื่อคงสภาพผิวเอาไว้ หากหยุดใช้ไปนาน ๆ ผิวก็กลับมาเป็นสภาพเดิม


 

          แนะนำให้หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีสารก่อให้เกิดอาการระคายเคืองขอรับ เพื่อให้ผิวไม่ถูกรบกวนและสามารถฟื้นตัวได้ดี หลีกเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน สำหรับคนที่ทนกับตัวยาได้เป็นอย่างดี สามารถแต้ม Benzac AC บาง ๆ บนหัวสิวหลังจากทา Differin แล้วก็ได้ครับ จะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้นด้วย

 


          อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นในการใช้และสภาพผิวของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน คงไม่มีใครรู้ถึงสภาพผิวของเราได้ดีกว่าตัวของเราเอง จึงต้องมีการปรับปริมาณ ความถี่ และรูปแบบในการใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองด้วยนะครับ




ขอบคุณข้อมูลทางการแพทย์บางส่วนจากคุณ Pupesosweet


มารู้เท่าทัน App เกย์ที่สามารถจับเรดาร์รอบตัวได้อย่างละเอียด


          สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านครับ  เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเล่นแอพลลิเคชั่นหนึ่งที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเลยไปหาโหลดมาเล่นดู ทำตามขั้นตอนต่างๆ ของแอพพลิเคชั่น ชื่อแอพนี้คือ Grindr อ่านว่า กายเดอร์ครับ แรกๆ ก็อ่าน กรินดอกเตอร์ อิอิ เรามาทำความเข้าใจการทำงานของแอพนี้ดีกว่าครับ



 
      
            Grindr มันเป็นแอพพลิเคชั่นแชตที่อาศัยเทคโนโลยีระบุพิกัดก็คือระบบ GPS นั้นเองครับ โอ้โหวววววว โดยมันจะค้นหาและเชื่อมต่อสมาชิกที่อยู่บริเวณใกล้กัน (ขนาดนั้นเลยครับ ฟังไม่ผิดหรอกครับ) 
หลักๆ ผู้ใช้จะต้องลงโปรแกรมบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตในระบบปฏิบัติการไอโอเอส แอนดรอยด์ และระบบอื่นๆ ครับ ซึ่งมีทั้งแบบโหลดเล่นฟรีและเก็บเงินนะเอ่ออออ...





               มาต่อในส่วนการใช้งานเลยนะครับ การใช้งานก็แสนง่ายดาย เหมือนแอพทั่วๆ ไปเลย เมื่อผู้ใช้ลงทะเบียนโดยกรอกประวัติและใส่รูปภาพตนเอง แนวไหนก็ได้ครับ ตามสะดวกเรา แต่มักเห็นแนวสุดสยิวกิ้วครับ จากนั้นก็จะสามารถเช็คอินเข้าสู่โปรแกรมเพื่อส่งข้อความถึงสมาชิกที่กำลังออนไลน์อยู่ได้


      
           มาดูความพิเศษของแอพครับ แอพมันจะค้นหาคนที่อยู่รอบๆ ตัวเราในรัศมีใกล้ที่สุดครับ หรือไม่เกินประมาณ 5 กิโลเมตรที่กำลังออนไลน์ขึ้นมา และยังมีคำโฆษณาว่าเป็นชุมชนชาวเกย์สังคมใหญ่ที่มีผู้ใช้มากกว่า 3 ล้านคนใน 192 ประเทศอีกด้วย โอ้มายยกอดดดด ขนาดนั้นเลยครับ
      

       ดังนั้น หากลองออนไลน์เข้าไปจะพบว่ามีเพื่อนเกย์ออนไลน์กันอยู่พรึ่บพรั่บทั้งฝ่ายตัวพระและฝ่ายตัวนาง และเกย์ที่เข้ามาเล่นแอพนี้ส่วนใหญ่จะหน้าตาดีบ้างไม่ดีบ้าง ปนๆ กันไปครับ 



          จากคำแนะนำจากเพื่อนคนนั้น เขาบอกว่าแอพนี้ได้รับความนิยมมากในสังคมเกย์เมืองไทย เพราะแอพนี้ทะยานขึ้นมาอยู่ที่อับดับ 4 ของการจัดอับดับแอพพลิเคชั่นในเมืองไทย และทำรายได้เยอะด้วยครับ 

           ผมเลยสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกัแอพเกย์ในอินเตอร์เน็ต พบว่ามีแอพพลิเคชั่นลักษณะนี้มากมาย นอกจาก Grindr อาทิ  Jack'D ,Hornet, Skout, เป็นต้น





        ส่วนตัวจากที่ผมได้มีโอกาสองเล่นมาช่วงหนึ่ง ทำให้ทราบว่าทกอย่างมันก็มีสีดำ สีขาวของตัวเองครับ ขึ้นอยู่กับคนมองจะเห็นสีไหน
เช่นกันครับ แอพนี้ก็มีสองด้าน กล่าวคือ สีขาวเราจะถึงการสร้างความสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนทัศนคติกับคนในแอพนี้ และได้ฝึกภาษากับชาวต่างชาติด้วย ผมก็ได้จากส่วนนี้ครับ เพราะบางคนที่มาเล่นโปรไฟล์ดีมีการศึกษาก็ค่อนข้างเยอะ 
           
           ในทางตรงกันข้าม สีดำคือเครื่องของการชักชวนกันไปทำในสิ่งที่ไม่เหมาะ อย่างเช่น ชวนกันไปเที่ยวตามสถานที่อโคจร จากนั้นก็ทำในสิ่งไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องการมีเพศสัมพันธ์และยาเสพติด        

           
       ส่วนความเสี่ยงทางด้านการถูกหลอกลวงจากแอปหาคู่อาจมีบ้าง แต่ทุกคนสามารถเรียนรู้ให้เท่าทันได้ ผ่านการใช้ภาษา การโพสต์ภาพ การคุย ซึ่งทุกคนก่อนที่จะมาเล่นแอพหาคู่ คงเคยเล่นแอพโซเชียลประเภทอื่นอยู่แล้ว เช่น line, whatapp, facebook เป็นต้น



      การเจอกันตอนกลางวันไม่น่าเป็นห่วง แต่เรื่องการติดโรคทางเพศสัมพันธ์น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า แต่ถ้านัดกันออกไปเจอและมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ Safe sex ก็อาจติดโรคได้ ซึ่งจดนี้น่ากัวมากครับ  แนวทางส่งเสริมจึงควรรณรงค์เรื่องการ Safe sex มากกว่าการห้ามเล่นแอพหาคู่ครับ เพราะการห้ามหรือควมคุบในลักษณะนี้ คงเป็นการำกัดสิทธิมากไป 





สุดท้ายตามที่กล่าวข้างต้นครับ ทุกอย่างก็มีทั้งด้านสีขาวและดำ อยู่ที่ตัวเราเองมากกว่าครับที่ต้องมีสติในการใช้โซเซียลเน็ตเวิร์ค








       

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประสบการณ์การเป็นอาสาสมัครงานประชุมระดับโลก

           สวัสดีครับ คุณผู้อ่านทุกท่าน   

                  ผมชื่อ... เอิ่มมม เอาชื่อเล่นละกันครับ ชื่อต้นนะครับ ตอนนี้กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาไทยครับ มหาวิทยาลัยมหิดล จากที่คุณผู้อ่านได้อ่านชื่อหัวข้อแล้ว คงสงสัยใช่ไหมละครับว่า มันคืองานอะไร ถึงเรียกว่าระดับโลก จัดที่ไหน เมื่อไหร่ละ งั้นผมจะตอบทุกข้อสงสัยเลยครับ ตามมาฟังได้เลยครับ-------------------------->



"มาบรีฟงานวันแรก @Centara " 

              งานที่ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในครั้งนี้ คือ งาน BANGKOK ANOC GENERAL ASSEMBLY 2014 ระหว่างวันที่ 1-10 พฤศจิกายน 2557 งานจัดที่โรงแรมหรูห้าดาวใจกลางย่านรถติดเลยครับ Centera Grand@Central World, Intercontinental, Holidays Inn



             มาฟังกันนะครับ ว่าเป็นงานระดับโลกยังไง ตามชื่อการประชุมครับ ANOC ชื่อเต็มคือ Association of national Olympics Committee เป็นองค์กรโอลิมปิกระหว่างประเทศนั้นเองครับ ก็แน่นอนแขกที่เข้าร่วมก็เดินทางมาจากทั่วทุกมุมโลก เป็นตัวแทนแต่ประเทศกว่า 220 ประเทศครับ เอาเข้าใจง่ายๆ ครับ เป็นการประชุมประจำปีโอลิมปิกที่เขาจะมีเลือกว่าให้ชาติไหนเป็นเจ้าภาพจัดแข่งกีฬา          ที่สำคัญแขกที่มาร่วมประชุมมีตั้งแต่เจ้าชายจากจอร์แดน ภูฏาน คูเวต ...แบบว่าองครักษ์เพียบครับ ตำรวจ ทหาร คุ้มเข้ม เอิ่มมม ผมเคยเห็นแต่ในหนังครับ แต่งชุดดำๆ ปิดมิดชิด แทบไม่เห็นหน้าครับ


"เหล่าเพื่อนๆ ร่วมโครงการ"

            ย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นของการเข้าร่วมโครงการนี้ดีกว่าครับ จำได้แม่นเลยว่าส่งใบสมัครเป็นคนสุดท้ายของมหา'ลัย เพราะก่อนหน้านั้น มีเพื่อนชวนไปสมัคร แต่ด้วยกลัวความสามารถตัวเองไม่ถึง ประกอบกับงานสอน การบ้านก็ช่างเยอะ เลยลืมไปเลยครับ พอเลื่อนๆ เล่นเฟสบุ้ค เห็นประกาศรับสมัคร เลยเข้าไปดู เอ้า.. ยังไม่หมดเขต หืมมม..น่าสนใจครับ ไหนๆ ละ มันก็ท้าทายดีนะ

           เลยไปยื่นใบสมัครช่วงบ่ายๆ เลยครับ หลายวันต่อมามีอีเมล์ตอบกลับให้ไปสัมภาษณ์ เอ้า... ตายห่าะ ใช้ภาษาอังกฤษซะด้วย เลยจัดการท่องสคริปต์เลยครับ แต่ให้ธรรมชาติที่สุด ส่วนตอนสัมภาษณ์ก็ไม่มีอะไรมากครับ ผมใส่แอคติ้งไปเยอะพอสมควรกับสำเนียงเฟคๆ อิอิ กรรมการถามว่าเคยไปเมืองนอกไหม เรียนเอกไทย แล้วไปเรียนภาษาอังกฤษมาจากไหน ตามด้วยถามวันสะดวกทำงานครับ... ผ่านนั้นเอง



           เข้าเรื่องงานเลยนะครับ ถูกเรียกตัวให้ไปบรีฟงานอย่างเร่งด่วน ด้วยเป็นคนความสามารถไม่เยอะจึงถูกโยนไปตำแหน่งโน้นนี้นั้น สุดท้ายมาจบที่ตำแหน่ง Liaison พาแขกเที่ยวตามตารางครับ งานง่ายๆ สบายๆ แต่แดดโคตรร้อน ตัวไหม้เกรียมครับ ไม่่ต่างอะไรจากอาชีพไกด์ แต่ดีอย่างเดียวแค่เราเทคแคร์แขกเราครับ
"แขกหลับล่ะ ก็เซลฟี่กันครับ"

           ชีวิตเดินทางจากศาลายาไปโรงแรมแต่เช้าตรู่ตลอด 8-9 วันเลยครับ อ๋อ..ลืมบอกนะครับว่ากองกิจการนักศึกษาออกใบลาให้ และให้ชั่วโมงเอทีด้วย หน้าที่การทำงานหลักๆ คือไปต้อนแขกที่โรงแรมขึ้นรถ พาไปเที่ยว เช็คความเรียบร้อย รอขอความช่วยเหลือ ประมาณนี้ครับ มาดูสิ่งที่ประทับใจจากการเป็นอาสาสมัครโครงการนี้ดีกว่าครับ



"นี่ล่ะครับ... การต้อนแขก"

             ระหว่างการพาแขกทัวร์ตามสถานที่สำคัญในกรุงเทพ ได้มีโอกาสพูดคุยกับแขกคนเกาหลี ท่านติดตามสามีชาวสวิสมาร่วมประชุมครั้งนี้ ท่านบอกว่าไม่เคยมาเมืองไทยเลยในชีวิต เคยได้ยินแต่ชื่อ เป็นเมืองที่สวยงาม อาหารเยอะ ผู้คนใจดี (เอ๊ะ...จริงอ่อ?) ท่านบอกถ้ามีโอกาสจะกลับมาเที่ยวใหม่ และถามผมว่าเป็นนักศึกษาเหรอ เรียนอะไรอยู่ ผมตอบว่า I'm studying faculty of Liberal Arts right now. ท่านตอบว่า หืมมม...ไม่แปลกใจว่าทำไมภาษาอังกฤษคุณถึงดี  (รู้สึกมีความมั่นใจที่พูดแย้วววว อิอิ)




"เหนื่อยนัก... ก็พักหน่อย"

           เหตุการณ์กับอีกแขกท่านหนึ่งมาจากปารีส แต่งตัวเต็มไปด้วยแบรนด์เนม หืมมมม ... แต่ แต่ โน สปีค อีงริชอ่าครับ อนุรักษ์นิยมมาก ด้วยที่สถานการณ์ ณ ตอนนั้น ที่หน้าวัดพระแก้วคนวุ่นวายมาก ไม่รู้วันอะไร คนเยอะเกิน แต่มาดามคนนั้นใส่บลูเบอร์รี่แขนกุดมาครับ ไกด์บอกเข้าไม่ได้ มาดามชี้มือว่าเอาผ้าพันคอกุดชี่คลุมเข้า ตายๆ จะทิ้งไว้รอก็คงไม่ได้ ด้วยไม่มีใครสามารถคุยภาษาฝรั่งเศสกับมาดามได้ ด้วยที่ผมเคยเรียนมานิดนึงตอนมอปลาย พอๆ จำคำศัพท์ได้ เลยเดินเข้าไปคุยด้วย ใช้ภาษามือผสมไปด้วย ผลสรุป ได้วิ่งออกไปซื้อเสื้อยืดมาให้ มาดามเห็นลายเขียนว่า "LOVE BANGKOK" บนเสื้อ ดูชื่นชอบมาก กล่าวขอบคุณแล้วขอบคุณอีก หลังจากนั้นไปไหนมาไหนมาดามมักใช้ให้ถ่ายรูปให้ตลอด


                       
"ร้อนไม่ร้อน ดูจากสภาพนะครับ สงสารแขกมากครับ"

             จากการได้มีโอกาสได้ร่วมเป็นอาสาสมัครในโครงการนี้ ทำให้ได้รับประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้จากที่ไหน ด้วยการเป็นงานประชุมระดับนานาชาติที่ไม่รู้อีกเมื่อไหร่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพอีก
ประสบการณ์ที่ได้ไม่ว่าจะเป็นการมีใจรักบริการ ความสามัคคี การรับฟังความเห็นผู้อื่น มิตรภาพเพื่อนมาจากหลายวัย หลายอาชีพ หลายสถาบัน และทักษะอื่นๆ รวมถึงได้ใบประกาศณียบัตรกับเงินค่าขนมนิดหน่อยครับ
             อีกทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยผมเองก็ต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แขกประทับใจ




     
             สุดท้ายผมขอขอบคุณองค์กรต่างๆ ที่ให้โอกาสผมเข้าร่วมทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็น การกีฬาแห่งประเทศไทย ออแกไนเซอร์ กองกิจการนักศึกษามหิดล    ผมจะนำความรู้และทักษะต่างๆ ที่ได้จากโครงการนี้ไปพัฒนาตนเองต่อไปครับ









         




Moto Hint: หูฟังบลูทูธไซส์จิ๋วสุดในตอนนี้!

   
           

               มนษย์โลกทุกวันนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ไอทีต่างๆ ซึ่งเหมือนเป็นอุปกรณ์ส่วนหนึ่งในร่างกายไปแล้วนะครับ โดยเฉพาะอุปกรณ์ต้องมีความทันสมัย สะดวก รวดเร็ว และตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากที่สุด ที่ผู้เขียนจะนำเสนออุปกรณ์ไอทีในวันนี้ คือหูฟังบลูทูธ ซึ่งแน่นอนก่อนหน้านั้นเราจะเจอกับหูฟังบลูทูธที่มีขนาดใหญ่ๆ เกะกะ หน้าตาแปลกๆ ช่างไม่เข้ากับสรีระมนุษย์เหลือเกิน                                         แต่ทาง MOTOROLA ได้ดีไซน์สิ่งนี้มาตอบโจทย์คอบลูทูธแล้วครับ สิ่งนี้มีชื่อว่า Motorola Moto Hint ขอรับ ไปดูหน้าตามันเลยครับ ว่าจะถูกใจแค่ไหน...




"Moto Hint ดีไซน์เรียบหรู"

 
"มีให้เลือกถึง 6 แบบ"


               ด้วยรูปลักษณ์ที่ออกแบบมาด้วยขนาดเล็กที่สุด ณ ตอนนี้  น้ำหนักเบากะทัดรัด ที่สำคัญคือลวดลายมันช่างโดนใจจริงๆ ครับ เรียบๆ หรูๆ เหมาะกับลุคผู้ดีหรือนักธุรกิจ ช่างเสริมราศีได้ดีเชียว           มีตั้งแต่ลายไม้ ลายผ้า ลายกระเบื้อง ลายอะลูมีเนียม ส่วนขนาดก็พอดิบพอดีกับรูหูครับ ใส่แล้วหมดปัญหาหูฟังบลูทูธดูแปลกๆ แน่นอน แค่รูปลักษณ์คงถูกใจคุณผู้อ่านนะครับ 



"มีขนาดเท่าเหรียญ"


              พออิ่มกับรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว มาต่อกับความสารถภายในของเจ้า Moto Hint ดีกว่าครับ    ว่าจะมีอะไรน่าสนใจแค่ไหน Moto Hint ตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานกับระบบปฏิบัติการ Android รุ่นใดก็ได้นะครับ (เง่ออออ น่าเสียดายจัง ผู้เขียนใช้ไอโอเอสอ่าครับ) แต่ก็แน่นอนครับ        เขาสร้างมาเพื่อตอบโจทย์เครื่อข่ายเขาเองด้วย ด้วยว่าถ้าจับคู่กับ Moto X. อุปกรณ์จะได้ประสิทธิภาพดีที่สุด 
              ส่วนคุณสมบัติภายในก็ไม่เปลี่ยนมากมาย ใช้ระบบการโทรเข้าออกด้วยเสียงสั่งการไปที่โทรศัพท์ของท่าน สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดด้วยเสียง  เช่น สามารถเข้าถึงข้อมูลด้วยเสียงพูดน้ำเสียงปกติ ตรวจสอบอีเมล์ ค้นหาข่าว หรือพูดอีกอย่างคือ เหมือนคุณกำลังคุยกับตัวเองนั้นเลยครับ


              ข้อจำกัดของอุปกรณ์ตัวนี้คือ แบตเตอรี่ค่อนข้างต่ำ เพราะด้วยขนาดเล็ก จึงมีชุดคู่แบตเตอรี่คู่มาช่วยยามโลวแบตเตอรี่ด้วยครับ


         

                 อุปกรณ์ตัวนี้ขานในไทยเรียบร้อยแล้วครับ มีตัวเลือกตามรสนิยมถึง 6 แบบ ด้วยสนนราคาอยู่ที่ $149.99 (ประมาณ 4,499 บาท) 


                ทุกวันนี้อุปกรณ์เกี่ยวกับไอทีเป็นเหมือนอวัยวะส่วนหนึ่งในร่างกายของมนุษย์แล้ว หลายคนต่างแสวงหากัน แต่ผมว่าการจะหาอุปกรณ์ไอทีสักตัวควรจะเลือกอันที่คุ้มค่า เหมาะสมและตอบโจทย์กับตัวเอง ซื้อมาแล้วสามารถให้ประโยชน์นานๆ ไม่ใช่ซื้อตามกระแส เพราะนั้นคุณจะไม่มีความสุขกับสินค้าไอทีหรอกครับ อีกอย่างจะให้สิ้นเปลื้องเปล่าๆ 

               สำหรับการรีวีวอุปกรณ์หูฟังบลทูธรุ่นล่าสุด และมีขนาดเล็กที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ จากค่าย MOTOROLA จบลงเพียงเท่านี้ครับ หวังว่าจะเป็นตัวเลือกให้คุณผู้อ่านที่กำลังมองหาบลูทูธดูดีสักตัวไว้ใช้งาน   
   



วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์นวนิยาย เรื่อง “เวลา” ของ ชาติ กอบจิตติ



ชาติ กอบจิตติ เจ้าของผลงานซีไรต์ปี 2537

"เวลา" พิมพ์ครั้งที่ 14 และ 10

               เวลา  เป็นผลงานการเขียนของ ชาติ กอบจิตติ ได้รับรางวัลนวนิยายรางวัลดีเด่นงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี 2537 และนวนิยายรางวัลซีไรท์  ปี 2537 เล่มนี้เป็นงานเขียนเล่มที่สองของชาติ กอบจิตติ ที่ได้รับรางวัลซีไรต์ ถัดจากเรื่อง คำพิพากษา ได้ในปี 2524

             นวนิยายเรื่อง เวลา มีจำนวนทั้งหมด 232 หน้า เนื้อหานวนิยายเกี่ยวกับการเดินของเวลาที่บอกเล่าเรื่องราวมนุษย์ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ผู้เขียนสร้างสรรค์งานออกมาให้มีความซับซ้อน มีตัวละครหลักคือผู้กำกับภาพยนตร์ เขาตั้งใจไปดูละครเวทีเรื่อง "เวลา" จากก ระแสที่ว่าเป็นละครเวทีที่น่าเบื่อที่สุดในรอบปี สร้างโดยนักศึกษา แต่เรื่องราวกลับพูดถึงชีวิตคนชราในสถานสงเคราะห์คนชราแห่งหนึ่ง จากผลงานการเขียนที่โดดเด่นและมีอัตลักษณ์ของชาติ กอบจิตติ ดังนั้นจึงได้คัดเลือกนวนิยายเรื่องนี้มาวิเคราะห์ 

ดังต่อไปนี้

"เวลา" พิมพ์ครั้งที่ 19
1.      แก่นของเรื่อง หรือแนวคิด (Theme)
               แนวคิดหลักหรือแก่นของนวนิยายเรื่องเวลา เป็นการสะท้อนแนวคิดทางพระพุทธศาสนาว่าทุกอย่างในโลกล้วนเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น สมมุติขึ้นมาสนองกิเลสแค่นั้น ทุกอย่างนั้นมันไม่ใช่ของเราเลย แม้กระทั่งร่างกายมนุษย์เองที่เป็นแค่การรวมกันขึ้นมาของธาตุทั้งสี่ มองในระดับสูงสุดคือการค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิตที่ว่าชีวิตเรานี้ "ไม่มีอะไรเลย"  
              จะเห็นได้จากผู้เขียนนำเสนอคำว่า ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ ในนวนิยายเรื่องนี้ตั้งแต่เปิดเรื่องจนจบเรื่อง ผู้เขียนมุ่งเสนอแนวคิดนี้ให้กับคนชราบนเวทีและผูกให้เรื่องราวเกี่ยวข้องกับตัวละครเอกด้วย เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจในยามเกิดทุกข์


2.      โครงเรื่อง (Plot) และเนื้อเรื่อง (Story)
              นวนิยายเรื่องเวลา สร้างรูปแบบโครงเรื่องที่ง่าย เหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องจะดำเนินไปตามลำดับเวลา โดยสามารถแบ่งโครงเรื่องออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
             โครงเรื่องหลักของ เวลา เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดูละครเวทีของตัวเอกที่ทำหน้าที่เล่าเรื่องทั้งหมดในนวนิยายเรื่องนี้ คือผู้กำกับภาพยนตร์ เป็นคนทำงานหนัก ไม่มีเวลาให้ครอบครัว หลังจากนั้นก็สูญเสียลูกสาวกับภรรยาอันเป็นที่รัก เมื่อว่างจากงานผู้กำกับภาพยนตร์ได้มานั่งรอดูละครเวทีที่ว่ากันว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุดในรอบปี เวลาบนเวทีเดินไปอย่างช้าๆ เมื่อการแสดงบนเวทีหยุดชะงักหรือไม่น่าสนใจ ผู้กำกับภาพยนตร์จะเล่าประสบการณ์ในอดีตของตัวเองที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์บนเวที รวมทั้งจะแสดงความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ ตามละครบนเวทีและจะนำเหตุการณ์บนเวทีมาสมมุติทำเป็นภาพยนตร์ของตัวเอง โดยใช้การเล่าเรื่องสลับกันไปมาบ้าง จนเหมือนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงบนเวทีตลอดทั้งเรื่อง

3.      ตัวละคร (Character)
ผู้กำกับภาพยนตร์ เป็นตัวหลักในการเล่าเรื่องราวทั้งหมดในนวนิยายเรื่องนี้ โดยการเล่าเหตุการณ์ในชั่วชีวิตเขาทั้งหมด เขาแสวงหาความสุขในช่วงบั้นปลายของชีวิต ทำในสิ่งที่อยากทำ หลังจากการสูญเสียคนรักไปทั้งภรรยาและลูกสาว เขามีโอกาสไปดูละครเวทีที่ว่ากันว่าเป็นละครเวทีน่าเบื่อที่สุดในรอบปี สร้างโดยกลุ่มนักศึกษา
ด้านกายภาพ :  เป็นชายวัยสูงอายุ อายุหกสิบสามปี
            “ที่น่าขำก็คือ ผมเองอายุหกสิบสามเข้าปีนี้แล้ว ยังไม่” (น.15)
ด้านจิตใจ : เป็นคนใจดี ซื่อสัตย์ มีความเมตตากรุณาและสงสารคนที่ลำบาก โดยเฉพาะคนชรากับเด็ก 
ภรรยาผู้กำกับภาพยนตร์ เป็นอีกตัวประกอบในนวนิยายเรื่องนี้ ทำหน้าที่เป็นภรรยาของผู้กำกับภาพยนตร์ เลี้ยงดูลูกสาวคนเดียวของครอบครัว
ด้านกายภาพ : เป็นหญิงวัยห้าสิบแปด
           “หลังจากกลับมาคราวนี้ ดูเธออ่อนเพลีย แก่ลงไปมาก ทั้งๆ ที่อายุเพียงห้าสิบแปดเท่านั้น (น.58)
อุบล เป็นตัวละครในละครเวทีและเป็นหญิงสาวที่คอยดูแลคนชราในบ้านพักตลอดทั้งเรื่อง
ด้านกายภาพ : เป็นหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ หน้าตาธรรมดา
              “ผมคะเนว่าเธอคงอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ อย่างมากก็คงไม่เกินยี่สิบห้า แต่หน้าตาที่เรียบสงบนั้น ทำให้เธอดูแก่กว่าวัย” (น.23)
คนงานชาย เป็นตัวละครในละครเวทีและเป็นชายอีกแรงที่คอยดูแลคนชราในบ้านพักตลอดทั้งเรื่อง
ด้านกายภาพ : มีรูปร่างล่ำเตี้ย กะทัดรัด แข็งแรง อายุประมาณสี่สิบกว่า
              “คนงายชายร่างล่ำ เตี้ย อายุประมาณสี่สิบกว่า” (น.50)
ลำเจียก เป็นตัวละครในละครเวทีและเป็นหนึ่งในแม่บ้านที่ร่วมดูแลคนชราในบ้านพักตลอดทั้งเรื่อง
ด้านกายภาพ : เป็นหญิงร่างอ้วน คิ้วดก อายุราวสามสิบห้า
         “หญิงร่างอ้วน คิ้วดก เธอแต่งกายด้วยชุดสีเดียวกันกับแม่บ้าน อายุคงอยู่ในราวสามสิบห้า” (น.50)
ยายบุญเรือน เป็นตัวละครในละครเวที และเป็นผู้ดีเก่ามีฐานะ ต้นตระกูลที่สูงส่ง นางยังยึดติดกับความสุขในอดีตของตนเอง คุยโอ้อวดให้คนโน้นคนนี้ฟังจนท้ายที่สุดก็เข้าความเป็นไปของชีวิต
         “โอ้ย ตอนนั้นดิฉันยังมีคนรถ คนใช้ นึกจะไปเที่ยวไหน ไปดูอะไร สะดวกสบาย” (น.65-66)
ยายสอน เป็นตัวละครในละครเวที  เป็นหญิงชราหลังงองุ้ม เดินลำบาก ปล่อยวางกับชีวิต ไม่มีความกังวลใจใดๆ ทั้งสิ้น อยู่เพื่อรอวันตาย เข้าใจและเห็นสัจธรรมในการดำเนินชีวิตแล้ว
             (อธิษฐาน) “เจ้าประคุณ ขอให้อิฉันตายวันตายพรุ่งเถอะ อิฉันเบื่อเต็มทีแล้ว ไม่มีห่วงมีกังวลแล้ว อิฉันพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” (น.47)
ยายจันทร์ เป็นตัวละครในละครเวที เป็นหญิงชราที่มุ่งปฏิบัติทางธรรม ชอบใส่บาตร คิดดีทำดีกับทุกคน
แต่เป็นคนขี้ลืมโดยเฉพาะเงิน เกิดเหตุการณ์เงินหายจนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นในบ้านพัก
            “เงินอิฉันหายค่ะคุณแม่ หายจริงๆยายจันทร์ยืนยันเสียงสั่น (น.27)
ยายทับทิม เป็นตัวละครในละครเวที หญิงชราที่ห่วงหาลูกชายสุดท้องซึ่งเป็นบ้า คอยเฝ้าคอยอยู่หน้าประตูพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตา ระยะเวลาเกือบเดือนที่ไม่ได้เจอหน้าลูกชาย
               (กลับสะอื้นออกมา) “กลัวมันจะเป็นอะไรไปเท่านั้นแหละคุณแม่ มันจะมาหรือไม่มาไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าให้มันเป็นอะไรเลย” (น.95)
ยายนวล เป็นตัวละครในละครเวที หญิงชราใจดี ชอบทำบุญทำทาน และเป็นคนมีระเบียบวินัยสูง                   จดแม้กระทั่งเลขในธนบัตรเพื่อนับจำนวน
             (พูดสวนทันที) “ก็ฉันนี่ไง ฉันจดของฉันไว้ทุกใบ แล้วฉันก็ยังไม่บ้าด้วย” (น.31)
ยายเอิบ เป็นตัวละครในละครเวที หญิงชราผู้ชอบการเสี่ยงโชคโดยการซื้อลอตเตอรี่ หวังว่าถ้าดวงดีคุณภาพชีวิตจะดีขึ้น และมีลูกเยอะแต่ไม่มีคนดูแล หรือแม้กระทั่งมาเยี่ยมเลย
           “ส่วนของฉันไม่เห็นหัวมันเลย สิบคน ไม่เคยเห็นเลยยายเอิบนึกถึงลูกตัวเอง
ยายอยู่ เป็นตัวละครในละครเวที หญิงอัมพาต ผอมแห้งหนังติดกระดูก ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แม้กระทั้งการอาบน้ำ การทานข้าว ตอบรับได้แค่ว่า อือ...เออและชอบทำบุญทำทาน
              “ร่างที่นั่งอยู่บนรถเข็นนั้น คือโครงกระดูกที่เหี่ยวย่น สีผิวซีด ซีดจนเชื่อว่าร่างนั้นไม่มีเลือดอยู่ภายในแล้ว” (น.22)   “อือ...เออ” (ไม่เข้าใจ) (น.26)
ชายเสียสติ เป็นตัวละครในละครเวที ชายแก่วัยชรา ไม่ชอบใส่เสื้อผ้า ถูกขังอยู่ในห้องลูกกรงและชอบตะโกนว่า ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ
 เด็กขายน้ำอัดลม เป็นตัวละครในละครเวที มีอาชีพขายเครื่องดื่ม น้ำหวาน นม อาหารตามสั่งและบริการส่งถึงที่ เป็นเด็กที่ถูกใช้แรงงาน มีความกตัญญูรู้คุณ ใจดี ขี้สงสารและขยันหมั่นเพียร
            “น่าน้า เมื่อวานน้าก็ไม่ซื้อ น้าสงสารผมเถอะ ถ้าวันนี้ผมขายได้น้อยอีก                                                             ผมโดนเขาด่าแน่ นะ น้านะ” (น.97)
เล็ก เป็นตัวละครในละครเวที ชายหนุ่มร่างผอม โกนผม สังคมมองว่าเขาเป็นคนบ้า แต่คำพูดที่คนๆนี้พูดออกมากลับแฝงด้วยสัจธรรมและข้อคิดเตือนสติมนุษย์
             “ใครโกนหัวให้มัน” “มันผอมไปนะ” (น.199)
ตัวละครประกอบอื่นๆ ได้แก่  หลายชายหลานสาวยายนวล พระ คุณตาที่ชอบอุบล ย่า พ่อ แม่ หญิงท้องแก่ เด็กหนุ่ม เด็กสาว เด็กผู้หญิง สาวใช้  คนขายลอตเตอรี่

4.      บทสนทนา (Dialogue)
             นวนิยายเรื่อง เวลา มีการใช้บทสนทนาซึ่งเหมาะสมกับกาลสมัย บทบาท ลักษณะนิสัยของตัวละครและความคิดของตัวละคร ทำให้เรื่องมีความสมจริง น่าสนใจ และมีส่วนช่วยในการดำเนินเรื่อง                                     ดังตัวอย่างต่อไปนี้
บทสนทนาแม่บ้านให้กำลังใจยายจันทร์หลังจากทำเงินหาย มีใจความดังนี้
              “ยายลองนึกค่อยๆ นึกดูให้แน่อีกที หนูว่ามันคงไม่หายไปไหนหรอก” (น.32)
บทสนทนาแสดงความมีน้ำใจของยายนวล มีใจความดังนี้
              นี่แม่จันทร์ แม่เอาเงินฉันไปก่อนแล้วกัน ฉันให้ยืม แม่จะได้มีไว้ซื้อของใส่บาตร” “มีจ้ะ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก ในตู้ฉันยังมีอีก” (น.33)
บทสนทนาแสดงถึงความห่วงใยของยายเอิบที่มีต่อลูกชาย มีใจความดังนี้
              “ฉันน่ะเลิกคิดมานมนานแล้ว เลี้ยงส่งเขาถึงฝั่งแล้วก็แล้วกันไป ทุกวันนี้นี่ก็ห่วงแต่ไอ้เล็กเท่านั้นนั่นแหละ กลัวมันจะเป็นอะไรไป”  “ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไง ลูกเอ๋ยแกปาดน้ำตาที่ไม่มีเสียงสะอื้น ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว (น.38)


 5.   ฉากและบรรยากาศ (Setting and Atmosphere)  นวนิยายเรื่องนี้มีฉากในเรื่องไม่มาก มีดังนี้
โรงละครเวที
            ผู้กำกับบรรยายเหตุการณ์ขณะรอการแสดงต่อเนื่องไป มีใจความดังนี้
           “แสงจากภายนอกเริ่มเรืองเรื่อเข้ามาในฉาก เข้ามาทางกระจกฝ้าเหนือบานหน้าต่างและช่องระบายลมเข้ามาทางประตูกลางทางเดินที่เปิดทิ้งไว้ มองออกไปเห็นพุ่มไม้ขึ้นอยู่ด้านข้างของตัวตึกอีกหลังหนึ่ง” (น.35)
ฉากบนเวทีการแสดง
             บทเวทีมีแสงไฟประกอบการแสดง มีนาฬิกาโบราณแขวนไว้กลางเสาบนเวที มีกลิ่นปัสสาวะมาจากบนเวที ผู้กำกับภาพยนตร์อธิบายฉากบนเวทีก่อนการแสดงเริ่มขึ้น มีใจความดังนี้
           “สักครู่ ลำแสงเล็กๆ พุ่งลงจับที่นาฬิกาทรงโบราณซึ่งแขวนไว้กับเสากลางห้อง” (น.11)
            “นาฬิกาเรือนนั้นไม่เพียงเก่าแต่รูปภายนอก แม้เนื้อไม้เก่าค่ำตามไปด้วย แลเห็นรอยกะเทาะแตกของสีที่เคลือบไว้หลุดล่อนไปตามกาลเวลา ยังคราบฝุ่นยังย้ำฟ้องถึงมันขาดคนเอาใจใส่ดูแล” (น.11)

6.      การเล่าเรื่อง (Point of View)
                 นวนิยายเรื่องเวลาใช้กลวิธีการเล่าเรื่องแบบเป็นบุคคลที่หนึ่ง ( The first person narrator as a main character) ผู้เขียนเล่าเรื่องในฐานะเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่อง เป็นการเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นคือประสบการณ์ของผู้เขียนเอง พบว่านวนิยายเรื่องนี้ผู้เขียนนิยมใชสรรพนามบุรุษที่ 1 “ผมเป็นการแทนตัวละครเอกในการเล่าเรื่อง ดังข้อความดังต่อไปนี้
              “ผมแน่ใจว่าเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงที่ผมได้ยินในครั้งแรก แต่ครั้งนี้ผมจับทิศทางได้ว่า มันดังมาจาห้องใดห้องหนึ่งในห้องลูกกรงนั่นเอง” (น.14)

สรุปการวิเคราะห์
                   แก่นเรื่องนำเสนอแนวคิดทางพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นแก่นสำคัญที่ใช้ในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการไม่ยึดติด ไม่เป็นทาสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งและความไม่จีรังยั่งยืน  โครงเรื่องนำเสนอแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ โครงเรื่องหลักคือการไปดูละครเวทีที่น่าเบื่อของตัวละครเอกและโครงเรื่องรองคือกิจวัตรประจำวันของคนแก่บนเวที ตัวละครนำเสนอโดยการอธิบายลักษณะทางกายภาพและทางจิตใจ รวมถึงพฤติกรรมของตัวละครแต่ละตัว  บทสนทนามีความเหมาะสมกับสมัย บทบาท ความคิดและลักษณะนิสัยของตัวละครทุกตัว ทำให้เรื่องมีความสมจริง ฉากและบรรยากาศนำเสนอไม่มาก ได้แก่ โรงละครเวที ฉากบนเวที และศาลาริมน้ำ และสุดท้ายการเล่าเรื่องของผู้เขียนใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่ง ผู้เขียนเล่นในฐานะเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องหรือประสบการณ์ของผู้เขียนเอง   
                 จากการอ่านนวนิยายเรื่อง เวลา ได้ทราบแนวคิดมากมายที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้ดี  การเข้าใจหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่สอดแทรกในเรื่องนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา ไม่มีอะไรเลย แม้กระทั่งร่างกายเราก็ไม่ใช่ของเรา และการเข้าใจโลกธรรม 8 คือการเปลี่ยนแปลงของชีวิตจากปัจจัยต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่มนุษย์ต้องประสบ สุดท้ายได้ประโยชน์ในการคิดวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ และการเข้าใจสภาพความจริงของสังคม



ธีระวัฒน์  พลเยี่ยม 
17 พฤศจิกายน 2557